เทคนิคของการมีรายได้สม่ำเสมอจากการลงทุน*
ภายหลังจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้ได้ทยอยลดลงตามทั้งแบบกองทุนที่ซื้อขายได้ทุกวันและแบบมีกำหนดระยะเวลา เช่น กองทุนอายุ 6 เดือน 1 ปี ทำให้เกิดการแสวงหารูปแบบการลงทุนอื่นๆ ที่สามารถทดแทนรายได้สม่ำเสมอ (recurring income) ที่ขาดหายไปจากที่เคยรับประจำทุกๆ 3 เดือน 6 เดือน ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่พอที่จะตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ในเรื่องรายได้ประจำนั้นพอมีอยู่ แต่ก็มีเรื่องที่ต้องพิจารณาและทำความเข้าใจ เพราะผลิตภัณฑ์การเงินแต่ละอย่างย่อมมีความแตกต่าง มีข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัด และความเสี่ยงที่ไม่เหมือนกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REIT กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
เป็นรูปแบบการลงทุนที่สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอให้กับผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี มีรูปแบบการลงทุนที่เฉพาะเจาะจงในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มีที่มาของรายได้หลากหลายแล้วแต่ประเภททรัพย์สิน และวิธีการหารายได้ เช่น ค่าเช่าพื้นที่อาคาร (โรงงาน คลังสินค้า อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า) ค่าเช่าทรัพย์สินเพื่อไปหาประโยชน์ต่อ (เส้นใยแก้วนำแสง) ค่าใช้บริการเข้าพักอาศัย (โรงแรม รีสอร์ท อพาร์ทเม้นต์) รายได้หลักหักค่าใช้จ่ายค่าใช้บริการทรัพย์สิน (รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน) เป็นต้น แต่มีสิ่งที่เหมือนกันนั่นคือ รายได้หรือรายรับที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ อัตราเงินปันผลที่สูงจูงใจมากเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ทำให้ส่วนใหญ่สามารถจ่ายคืนผลตอบแทนในรูปเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ค่อนข้างสม่ำเสมอเป็นรายไตรมาส อย่างไรก็ตามกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REIT กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการลงทุนที่เฉพาะเจาะจง มีการกระจายการลงทุนต่ำ ขณะที่หลายกองทุนยังมีปัญหาสภาพคล่อง มีจำนวนหน่วยลงทุนจำกัด และผู้ที่เข้าไปลงทุนจำนวนมากเน้นการลงทุนยาวเพื่อรับปันผล กองทุนที่ได้รับความนิยมหลายกองทุนมีราคาหน่วยลงทุนที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่สูงขึ้นไปแล้ว ทำให้อัตราผลตอบแทนโดยรวมจากการเข้าไปลงทุนในวันนี้ ให้ผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบลดลง จำเป็นต้องหาจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุน เมื่อราคาย่อลงมาในระดับที่พอรับได้เมื่อเทียบกับความเสี่ยง ประเด็นปัญหาดังกล่าวทำให้การเข้าไปเลือกลงทุนเองของผู้ลงทุนที่ไม่ชำนาญ ไม่คุ้นเคย หรือไม่มีพอร์ตการลงทุนในหุ้น ทำได้ยากกว่าการเข้าไปลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะหากต้องการข้ามไปลงทุนใน REIT ต่างประเทศซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีสินค้าที่น่าสนใจจำนวนมาก
หุ้นปันผล (Dividend Stock)
การลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลดีสม่ำเสมอ เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่กลุ่มผู้เข้าใจการลงทุนในหุ้น อดทนต่อความผันผวนของราคาระหว่างทางและสามารถลงทุนยาวได้นิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเองโดยตรงหรือลงทุนผ่านกองทุนที่เน้นหุ้นปันผล เพราะนอกเหนือจากปันผลที่ได้รับเป็นประจำแล้วก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นด้วย การสร้างรายรับสม่ำเสมอจากหุ้นปันผล มีข้อพึงระวังนั่นคือ ราคาหุ้นมีความผันผวน การเลือกหุ้นรายตัวจึงต้องใช้ความชำนาญ ระมัดระวัง เพราะเป้าหมายแตกต่างการสร้างความมั่งคั่งจากการเติบโตของราคาหุ้น จำเป็นต้องศึกษาแหล่งที่มาของรายได้ของกิจการว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใด รายได้และอัตรากำไร รวมถึงอัตราปันผลที่จ่ายออกมามีความสม่ำเสมอหรือไม่ และการจ่ายปันผลโดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2 ครั้งต่อปี หุ้นปันผลที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอจากการลงทุนในลักษณะนี้ ควรเป็นหุ้นที่เข้าข่ายหุ้นที่เรียกว่าเป็น Equity Bond คือเป็นกิจการที่มีความแข็งแกร่ง รายได้ของกิจการและอัตรากำไรควรมีทิศทางที่ชันเจน ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่างๆ คาดการณ์ได้ง่าย คือผู้ลงทุนสามารถมองเห็นภาพของที่มาที่ไปของรายได้และกำไรที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ชัด เช่น กิจการโรงไฟฟ้า เป็นต้น และที่สำคัญต้องจ่ายปันผลออกมาอย่างสม่ำเสมอ ราคาหุ้นผันผวนน้อย
ตราสารหนี้ประเภทต่างๆ
แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยโดยรวมจะลดลง แต่ตราสารหนี้ก็ยังเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ สำหรับกลุ่มผู้ต้องการรายได้สม่ำเสมอจากการลงทุนอยู่ เพราะตราสารหนี้ยังคงมีความเสี่ยงต่ำ มีความแน่นอนของผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยที่ผู้ออกต้องจ่าย อีกทั้งสามารถข้ามไปเลือกลงทุนในตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตลาดตราสารหนี้ในประเทศอย่างมาก เพียงแต่การคัดเลือกตราสารหนี้เหล่านั้น จำเป็นต้องใช้ความพยายามแสวงหา ศึกษาหาข้อมูลมากขึ้นเพื่อการลงทุนหาผลตอบแทนที่พอรับไหว ใช้เทคนิค กลยุทธ์ และฝีมือในการซื้อขายมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าช่องทางนี้จะเหมาะสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน หรือกองทุนต่างๆ มากกว่าผู้ลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่ไม่เป็นที่รู้จัก หรือตราสารหนี้ประเภทไฮยิลด์ที่มีผลตอบแทนน่าจูงใจ แต่ต้องอาศัยความชำนาญของผู้จัดการกองทุนเฉพาะด้าน ที่มีกลยุทธ์การลงทุนซื้อขายที่ดี มีการกระจายการลงทุนจำนวนมากๆ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม
โดยสรุปจากตัวอย่างประเภทตราสารการเงินที่ยกมา จะเห็นว่าตราสารแต่ละอย่างมีข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัด และระดับความเสี่ยงของการเข้าไปลงทุนที่แตกต่างกัน ไม่มีตราสารใดที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการรายรับจากการลงทุนสม่ำเสมอได้ทั้งหมด โดยอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า
- การลงทุนนั้นต้องไม่มีความเสี่ยงสูงมากเกินไปเมื่อเทียบกับการฝากประจำกับธนาคารหรือตราสารหนี้แบบเดิมๆ นั่นคือยังคงต้องลงทุนในตราสารหนี้เป็นสัดส่วนที่สูงอยู่
- กลุ่มผู้ลงทุนจำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยงโดยรวมที่เพิ่มขึ้น เพื่อแลกกับโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในทรัพย์สินที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้ ในสัดส่วนที่เหมาะสม
- มีการกระจายการลงทุนไปในหลากหลายรูปแบบ ลดความเสี่ยงของการกระจุกตัวในทรัพย์สินกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และเพื่อให้มีโอกาสรับปันผลได้สม่ำเสมอในระหว่างปี จากความถี่ในการจ่ายผลตอบแทนและช่วงเวลาที่ต่างกันของทรัพย์สินแต่ละประเภท
เมื่อพิจารณาจากผลตอบแทน (Yield) คร่าวๆ จากการลงทุนในสภาวะปัจจุบันจากการรวบรวมผ่านหลายช่องทางจะพบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ยูเอสไฮยิลด์และตราสารการเงินอสังหาริมทรัพย์มีความน่าสนใจในแง่ของผลตอบแทน ทั้งในไทย สิงคโปร์ และทั่วโลก แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงและผันผวน ขณะที่เงินปันผลจากหุ้นไทยกลุ่มปันผลสูงก็ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่ก็ล้วนมีความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา ดังนั้นการลงทุนเพื่อเป้าหมายการสร้างพอร์ตเพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุนแบบสม่ำเสมอ จึงจำเป็นต้องใช้พอร์ตแบบผสมผสาน ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกตราสารหนี้ หุ้นรายตัว หรือตราสารอสังหาริมทรัพย์ และมีการปรับพอร์ตตามภาวะการณ์ของตลาดทุน เพื่อให้เกิดโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่มีความเสี่ยงที่ไม่สูงเกินไปนักจากรูปแบบการลงทุนเดิมๆ ที่คุ้นเคย
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP กองทุนบัวหลวง
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร