หน้าหลัก > บทความการเงิน > วิเคราะห์วิธีการคัดเลือกกองทุนรวมผสม

วิเคราะห์วิธีการคัดเลือกกองทุนรวมผสม


ที่มาของภาพ : https://www.za.in.th/wp-content/uploads/Mixed-Fund.png

      สำหรับวิธีการคัดเลือกกองทุนรวมผสม (Mixed Fund) ต้องบอกก่อนเลยว่าการเปรียบเทียบระหว่างกองทุนรวมผสมด้วยกันเอง เป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนของแต่ละกองทุนรวมผสมไม่เหมือนกัน ความเสี่ยงก็จะไม่เท่ากัน ทำให้การเปรียบเทียบอาจจะไม่สามารถทำได้แบบกองทุนรวมตราสารหนี้หรือกองทุนรวมตราสารทุน (หุ้น) แล้วกองทุนรวมผสม (Mixed Fund) มีวิธีคัดเลือกยังไง

      สำหรับกองทุนรวมผสมแนะนำว่าจะต้องเริ่มต้นที่ “สัดส่วนการลงทุน” ที่เหมาะสมกับ “ระดับความเสี่ยง” ที่รับได้ว่าเหมาะกับการกระจายการลงทุนแบบไหน ถ้าใครไม่ชอบความเสี่ยงหรือรับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำว่าให้เลือกกองทุนรวมผสมที่มีกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อย่างเช่น หุ้น ในสัดส่วนที่น้อยและตราสารหนี้ในสัดส่วนที่สูงมากขึ้น ในทางกลับกันใครที่รับความเสี่ยงสูงขึ้น ก็สามารถเลือกกองทุนรวมผสมที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่สูงมากขึ้นได้ 

      สำหรับการคัดเลือกกองทุนรวมแบบผสม ยังแนะนำว่าสามารถใช้เว็บไซต์ www.morningstarthailand.com ได้เหมือนเคย โดยวิธีการคัดเลือกกองทุนรวมผสมในเบื้องต้นจะมีความคล้ายคลึงกับกองทุนอื่นๆ คือ จะเลือกกองทุนรวมที่ได้รับ 4-5 ดาวจาก Morningstar เป็นหลัก โดยปกติแล้วสามารถเลือกประเภทของกองทุนผสมที่แบ่งตามสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ได้ทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้

  1. Aggressive Allocation คือ กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 65% ขึ้นไปของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV)
  2. Moderate Allocation คือ กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 35-65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV)
  3. Conservative Allocation คือ กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นน้อยกว่า 35% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV)
  4. Foreign Investment Allocation คือ กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ตั้งแต่ 0-100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV)

      หลังจากที่เลือกกองทุนแบ่งตาม AIMC เป็น “Aggressive Allocation” แล้ว เลือกกองทุนที่มี 4-5 ดาว Morningstar Rating เท่านั้น แต่ย้ำอีกครั้งว่า Morningstar Rating จะเป็นการประเมินจากข้อมูลในอดีตเท่านั้น ไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ดูได้ว่าในอดีตกองทุนรวมนี้มีประสิทธิภาพที่ดี จากนั้นให้โฟกัสไปที่กองทุนที่ได้รับ 4-5 ดาว พร้อมทั้งดูหนังสือชี้ชวนเพื่อดูนโยบายของทุกๆ กองทุนเพื่อดูว่ามีกองทุนรวมผสมกองไหนบ้างที่มี “สัดส่วนการลงทุน” ตามระดับความเสี่ยงที่ต้องการ

      ในขั้นตอนต่อไปมาดูวิธีการคัดเลือกกันต่อในหัวข้อ “ความเสี่ยง” แนะนำว่าให้ดูที่ “Sharpe 3 ปี” (ซึ่งก็คือ Sharpe Ratio เฉลี่ย 3 ปี) หลักการดู Sharpe Ratio ง่ายมากๆ นั่นก็คือ ให้เลือกกองทุนที่มี Sharpe Ratio ที่สูงกว่า แปลว่ามีผลตอบแทนต่อหนึ่งหน่วยความเสี่ยงที่ดีกว่า ซึ่งน่าสนใจลงทุนมากกว่าหากเปรียบเทียบกับกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายการลงทุนใกล้เคียงกัน แต่ในกรณี Sharpe Ratio ออกมาใกล้เคียงกันก็ให้ดูปัจจัยอื่นประกอบด้วย ที่สำคัญต้องอย่าลืมเข้าไปดูหนังสือชี้ชวนของกองทุนอย่างละเอียดอีกครั้งด้วย เพื่อทำความเข้าใจถึงนโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต รวมไปจนถึงความเสี่ยง ค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะอยู่ในหนังสือชี้ชวนทั้งหมดเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

      โดยสรุปขอย้ำเตือนกันอีกครั้งว่า “กองทุนรวมผสม” จะมีสินทรัพย์เสี่ยง อย่างเช่น หุ้น เป็นส่วนผสม เวลาที่ตลาดหุ้นเกิดความผันผวน กองทุนรวมผสมก็จะมีความผันผวนเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แต่จะมีความผันผวนที่ต่ำกว่ากองทุนรวมหุ้น ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป กองทุนรวมผสมก็มีโอกาสที่จะขาดทุนสูงกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป สำหรับใครที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ แนะนำว่าควรลงทุนในระยะยาว จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องความผันผวนได้ดีนั่นเอง

บทความการเงิน

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566

180 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย