หน้าหลัก > บทความการเงิน > มีหนี้เท่าไร ถึงเรียกว่ามากเกินไป

มีหนี้เท่าไร ถึงเรียกว่ามากเกินไป

มีหนี้เท่าไร ถึงเรียกว่ามากเกินไป* 

           ในยามที่หนี้ครัวเรือนในประเทศอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างใน ปัจจุบันที่ 80% ของ GDP ประเด็นที่หลายคนกังวล คือ มีหนี้สักเท่าไร จึงจะเรียกว่ามากเกินไปหรือมากเกินตัว หนี้ประเภทไหน ที่น่าจะจัดการด้วยการใช้เครดิต แทนที่จะจ่ายเงินสด เพื่อช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ถูกต้องในเรื่องการก่อหนี้ส่วนบุคคล หรือ Personal Debt บทความนี้จะแสดงให้เห็นว่าระดับของการผ่อนหนี้บ้าน รถยนต์ บัตรเครดิต และการเรียนควรอยู่ในอัตราเท่าใด จึงจะเรียกว่าเหมาะสม 

           ในโลกแห่งการบริโภคนิยมนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทีเดียวที่จะดำรงชีวิตในสังคมเมืองโดยไม่มีการก่อ หนี้ คนส่วนใหญ่ของสังคมไม่สามารถจ่ายค่าซื้อบ้านเป็นเงินสด หรือซื้อรถด้วยเงินสด จ่ายค่าเล่าเรียนบุตรหลานเป็นเงินสด (ยกเว้นกรณีส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งจะต้องชำระเงินสดในสกุลเงินต่างประเทศ) แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะปล่อยให้มีหนี้สินเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถจัดการได้ตามหลัก ของการบริหารการเงินที่ดีนั้น ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าภาระหนี้ที่เป็นระยะยาวต่อเดือนควรมีไม่เกิน 36 เปอร์เซ็นต์ ของรายรับต่อเดือน ตัวเลขนี้เป็นสิ่งที่นายธนาคารจะให้ความสำคัญ เมื่อพิจารณาความน่าเชื่อถือทางการเงินของลูกหนี้ อย่างไรก็ดีหากมองในอีกขั้วหนึ่ง การไม่มีหนี้สินเลยก็ถือเป็นวิธีบริหารการเงินที่ไม่ชาญฉลาดเท่าใดนัก แม้เป็นเรื่องฉุกเฉินก็เถอะ เพราะคุณจะต้องจ่ายเงินสดสำรองของคุณออกไปแทนที่จะใช้เครดิตได้ ซึ่งมีแบบสอบถาม 8 ข้อ เพื่อดูว่ามีปัญหาเรื่องการบริหารหนี้ส่วนตัวหรือไม่? ดังนี้

1.เงินค่างวดต่างๆ เช่น สินเชื่อบ้านรวมเบี้ยประกันด้วยนั้นมากกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ขั้นต้นประจำแต่ละเดือนของหรือไม่
(ก) ใช่ (5 คะแนน) (ข) ไม่ใช่ (0 คะแนน)

2.เงินค่าผ่อนรถยนต์มากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้สุทธิประจำเดือนหรือไม่
(ก) ใช่ (5 คะแนน) (ข) ไม่ใช่ (0 คะแนน)

3.เทียบ ยอดหนี้ในบัตรเครดิตแต่ละใบกับเพดานวงเงินที่ได้รับอนุมัติ เสร็จแล้วเทียบยอดหนี้รวมของบัตรเครดิตกับเพดานวงเงินรวมที่ได้รับอนุมัติ ให้ใช้
(ก) แต่ละบัญชีมียอดหนี้ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ (0 คะแนน) (ข) แต่ละบัญชีมียอดหนี้เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์      (5 คะแนน) (ค) ยอดหนี้รวมทุกบัตรเครดิตมีมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของเพดานวงเงินที่ได้รับอนุมัติ (15 คะแนน)

4.รวมตัวเลขการจ่ายค่างวด และค่าผ่อนชำระต่างๆ ประจำเดือนทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วหารด้วยรายรับขั้นต้นในแต่ละเดือน เพื่อที่จะดูว่ามีหนี้อยู่กี่เปอร์เซ็นต์หรือคิดเป็นร้อยละเท่าไร
(ก) น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ (0 คะแนน) (ข) 30-35 เปอร์เซ็นต์ (5 คะแนน) (ค) 36-40 เปอร์เซ็นต์ (10 คะแนน)  (ง) มากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ (20 คะแนน)

5.มีเงินสำรองฉุกเฉินในวงเงินที่มีค่าเท่ากับยอดชำระหนี้เป็นเวลา 3 เดือนหรือไม่ ซึ่งต้องรวมตัวเลขค่าใช้จ่ายด้วย
(ก) ไม่มี (10 คะแนน) (ข) มีพอชำระแค่ 1-2 เดือนเท่านั้น (5 คะแนน) (ค) ใช่ (0 คะแนน)

6.เคยชำระหนี้ช้ากว่าปกติหรือไม่ในช่วง 6 เดือนก่อน
(ก) เคย (10 คะแนน) (ข) ไม่เคย (0 คะแนน)

7.ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เคยคิดทำรีไฟแนนซ์และคำนวณว่าจะประหยัดเงินได้สักเท่าไรหรือไม่
(ก) ไม่เคย (10 คะแนน) (ข) เคย (0 คะแนน)8.เคยตรวจสอบรายงานเครดิตหรือไม่ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา(ก) ไม่เคย (10 คะแนน) (ข) เคย (0 คะแนน)

หลังจาก ทำแบบสอบถามเสร็จแล้วถ้าได้คะแนนต่ำกว่า 10 แสดงว่าสามารถบริหารหนี้ได้ยอดเยี่ยม ถ้าคะแนนออกมาได้ 15-30 คะแนน ยังถือว่าบริหารหนี้ได้ดี แต่ต้องระมัดระวังรอบคอบสักหน่อย ส่วนถ้าได้คะแนนมากกว่า 30 ขึ้นไป แสดงว่ากำลังเผชิญกับปัญหาหนี้แบบมากเกินไปแล้ว

 

__________________
* โดย ธีระ ภู่ตระกูล CFP นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ฉบับวันที่ 7 ตุลาคม 2556

บทความการเงิน

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2556

5789 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย