เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนสิงหาคม 2566)
ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2566 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดราคาค่อนข้างทรงตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ขยายตัวขึ้นมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะการค้าโลกเมีแนวโน้มลดลง จึงทำให้ในเดือนนี้การผลิตสินค้ามีการหดตัวลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีทิศทางที่เป็นบวก ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังมีความแปรปรวนอยู่ แต่ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเท่าไรนัก ทั้งนี้ต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าลดลงแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการลงทุนอื่นๆ เริ่มมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น จึงส่งผลให้การออมเงินมีการหดตัวลงมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากธนาคารมีการทยอยปล่อยสินเชื่อออกมาบ้าง ทำให้ในเดือนนี้จึงมีการขยายตัวได้ แต่ก็มีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
เดือน / รายละเอียด |
มีนาคม 66 |
เมษายน 66 |
พฤษภาคม 66 |
มิถุนายน 66 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
107.76 |
107.96 |
107.19 |
107.83 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
105.89 |
82.72 |
95.39 |
93.05 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
66.49 |
53.55 |
60.25 |
59.12 |
ดุลการค้า |
4,304.78 |
80.49 |
54.51 |
2,017.61 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
4,413.28 |
-581.31 |
-2,766.07 |
1,448.81 |
เงินฝาก |
17,258.19 |
17,201.97 |
17,169.33 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
18,635.75 |
18,404.26 |
18,736.54 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ที่มาของภาพ : https://moneyandbanking.co.th/wp-content/uploads/2023/07/person-is-holding-model-house-with-house-top-310x280.jpg
ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะข้างหน้า เนื่องจากเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากจากการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและการหดตัวลงของจำนวนประชากรที่จะเริ่มต้นในปี 2030 ตามการการคาดการณ์ของ UN อย่างไรก็ตามภาคอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดหัวเมืองใหญ่จะยังขยายตัวต่อได้ตามแนวโน้มการย้ายถิ่นฐานของประชากรเข้าสู่เมืองใหญ่ที่มีมากขึ้น ทำให้ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยจะแตกต่างกันระหว่างเมืองใหญ่และเมืองรองมากขึ้น โดยการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่เท่านั้น
จำนวนประชากรและความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่ ถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลให้ทั้งความต้องการซื้อทั้งตลาดที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์อย่างศูนย์การค้า สำนักงาน และคลังสินค้าเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามการเติบโตของจำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุด คือช่วงอายุระหว่าง 25-54 ปี ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วนับตั้งแต่ปี 2015 และเริ่มมีจำนวนลดลง ในขณะที่จำนวนประชากรไทยในภาพรวมจะเริ่มลดลงในปี 2030 ซึ่งจะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่รุนแรงมากขึ้น
นอกจากปัจจัยด้านประชากร ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษปี 2010 โดยไม่ได้เกิดจากเฉพาะโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป แต่ยังมาจากอีก 4 ปัจจัยภายในประเทศที่เริ่มเปลี่ยนทิศทางและกดดันการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์คือ
ระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงมากแล้วในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่ไทยกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาลงของวัฏจักรสินเชื่อ (Deleveraging) ส่งผลให้การกู้ยืมอาจมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นและความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มเติมของผู้กู้ทำได้น้อยลง
ถึงแม้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยโดยรวมจะชะลอตัวลง แต่อสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ยังไปต่อได้ โดยมีแรงสนับสนุนที่แตกต่างจากภาพรวมของประเทศไทย คือ
อย่างไรก็ตาม KKP Research ยังประเมินว่าการพึ่งพากำลังซื้อจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนที่มีสัดส่วนมากกว่าครึ่ง อาจมีความเสี่ยงในระยะยาวจาก
ในขณะเดียวกันภาคอสังหาริมทรัพย์ในเมืองรองและเขตชนบทอาจซบเซา มีความเสี่ยงราคาบ้านปรับตัวลดลง ความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดเล็กหดตัวลงตามจำนวนครัวเรือนที่ย้ายไปยังเมืองใหญ่มากขึ้น สะท้อนจากจำนวนครัวเรือนในภาคอีสานและภาคเหนือที่เริ่มหดตัวที่ 1.2% ต่อปี โดยในปัจจุบันเริ่มเห็นตัวเลขปริมาณอุปทานของบ้านมากกว่าจำนวนครัวเรือน ซึ่งสวนทางกับกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่จำนวนบ้านในตลาดยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด ซึ่งประเมินว่าปัญหา "บ้านล้นตลาด" ในต่างจังหวัดจะยิ่งถูกกดดันมากขึ้นจากความต้องการที่หดตัวลงต่อเนื่องตามจำนวนครัวเรือนที่ลดลง ประกอบกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดที่มีแนวโน้มลดลงในภาพรวม ส่งผลให้มีแนวโน้มที่ในอนาคตจะมีจำนวนบ้านเหลือมากขึ้นและเป็นแรงกดดันให้ราคาบ้านต้องปรับลดลงได้เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นและจีนที่ประสบปัญหาราคาบ้านแถบชนบทหดตัว
อย่างไรก็ตามถึงแม้บทบาทของภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อเศรษฐกิจไทยจะมีจำกัด แต่การปล่อยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนอื่นในเศรษฐกิจได้ ทั้งในภาคเศรษฐกิจจริงผ่านกลุ่มธุรกิจเกี่ยวเนื่องในภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการเงินผ่านกลุ่มธนาคารและตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อคุณภาพสินทรัพย์ เพราะสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนมากกว่า 30% ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด และภาคอสังหาริมทรัพย์มีการระดมทุนผ่านตลาดสารหนี้ที่มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง หากเกิดการชะลอตัวรุนแรงอาจส่งผลต่อเนื่องสู่ตลาดการเงินได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
วิเคราะห์แนวทางการให้สินเชื่อเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาว
ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ EIC ได้ทำการวิเคราะห์พบว่าในการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะพิจารณา Risk-Adjusted Return on Capital หรือ RAROC ซึ่งเปรียบเสมือนกำไรต่อหน่วยของการดำเนินธุรกิจ โดย RAROC คำนวณจากรายได้ดอกเบี้ยหักต้นทุน 3 ประเภท ได้แก่ 1) ต้นทุนจากการระดมทุน 2) ต้นทุนจากการดำเนินการ และ 3) ต้นทุนจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงที่ผู้กู้จะผิดนัดชำระหนี้ หากมองจากมุมของธนาคารพาณิชย์จะพบว่ามีเหตุผล 2 ประการที่ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs น้อยกว่า เมื่อเทียบกับสินเชื่อครัวเรือน ดังนี้
จากเหตุผลข้างต้นเราจะสามารถสร้างแรงจูงใจให้ระบบธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อธุรกิจมากขึ้น หาก เพิ่มประสิทธิภาพของกลไกตลาดสินเชื่อ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับความต้องการสินเชื่อ ศักยภาพและความเสี่ยงของธุรกิจ หรือเรียกว่าข้อมูลเครดิต ซึ่งไทยสามารถเพิ่มการไหลเวียนของข้อมูลเครดิตได้หลายวิธี เช่น การเพิ่มขอบเขตและความลึกของข้อมูลเครดิตที่เครดิตบูโร การแลกเปลี่ยนข้อมูลเครดิตระหว่างสถาบันการเงิน การจัดให้มีตัวกลางที่ช่วยธุรกิจจัดทำข้อมูลเครดิต และสื่อสารแลกเปลี่ยนกับธนาคารพาณิชย์เพื่อเพิ่มโอกาสที่ธุรกิจจะเข้าถึงสินเชื่อ นอกจากนี้ยังสามารถแก้ปัญหาไม่ทราบความเสี่ยงทางอ้อม โดยการขยายขอบเขตของสินทรัพย์ค้ำประกันให้สอดคล้องกับสินทรัพย์ที่ธุรกิจ SMEs มีในช่วงที่เริ่มลงทุน เช่น เอกสารคำสั่งซื้อ หรือสินค้าคงคลัง
ระบบธนาคารพาณิชย์จัดสรรเงินทุนโดยชั่งน้ำหนักระหว่างการให้สินเชื่อเพื่อสร้างโอกาสให้คนในระบบเศรษฐกิจ และการบริหารความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินเพื่อสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงอย่างเต็มกำลังและยั่งยืน โดยปกติการพูดถึงการบริหารความเสี่ยง นั่นคือการรักษาเสถียรภาพของระบบธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้เป็นปกติเป็นหลัก แต่อาจลืมต้นทุนค่าเสียโอกาสของการบริหารความเสี่ยง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จึงต้องกักเก็บทรัพยากรทางการเงินไว้กับตัว ไม่สามารถปล่อยออกไปเป็นสินเชื่อธุรกิจที่ส่งเสริมการลงทุนและเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ต้นทุนค่าเสียโอกาสของการบริหารความเสี่ยงมีมูลค่ามากแค่ไหน สมมติว่าระบบธนาคารพาณิชย์ตั้ง สำรองเพิ่มขึ้น 1% ของยอดคงค้างสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 66 จะต้องสำรองคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.8 แสนล้านบาท หากระบบธนาคารพาณิชย์สามารถนำทรัพยากรส่วนนี้มาปล่อยกู้ให้ธุรกิจลงทุน ข้อมูลจาก Penn World Table ระบุว่าการลงทุนของไทยจะให้ผลตอบแทนประมาณ 8.4% นั่นคือเศรษฐกิจไทยเสียโอกาสคิดเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจมูลค่าราว 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 0.1% ของ GDP ไทยในปี 2565 ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญ
ดังนั้นระบบธนาคารพาณิชย์ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างโอกาสและความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสมที่สุด นั่นคือระดับที่สามารถจัดสรรเงินทุนเพื่อสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงอย่างเต็มกำลังและยั่งยืนแล้วหรือยัง ระบบธนาคารพาณิชย์ไม่ควรตั้งสำรองน้อยเกินไปจนสร้างความเปราะบาง แต่ก็ไม่ควรมากเกินไปจนทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรทางการเงินบกพร่อง เมื่อมองไปข้างหน้า การเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกตลาดสินเชื่อจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ประเมินความเสี่ยงได้คมชัดยิ่งขึ้น จึงสามารถตั้งสำรองลดลงได้โดยไม่สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารพาณิชย์ เมื่อนั้นธนาคารพาณิชย์จะสามารถปล่อยทรัพยากรทางการเงินออกสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการลงทุนได้มากขึ้น
โดยสรุปการเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกตลาดสินเชื่อและการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในระดับที่ธนาคาร พาณิชย์สามารถสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มกำลังและยั่งยืน จะช่วยปรับสัดส่วนของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อครัวเรือนให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย เปรียบเสมือนร่างกายที่ได้อาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดการเติบโตในระยะยาวได้อย่างสมดุลและยั่งยืนนั่นเอง
กลุ่มประชาสัมพันธ์
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์