หน้าหลัก > บทความการเงิน > วิเคราะห์การลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากโควิด-19

วิเคราะห์การลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากโควิด-19

วิเคราะห์การลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากโควิด-19*

           
          องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2563 จะหดตัว -3.3% (yoy) และเศรษฐกิจไทยหดตัว -6.7% (yoy) สะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกและไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักฉับพลันจากมาตรการปิดเมืองในช่วงเวลานี้ การลงทุนจะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาค่อนข้างสูง นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้

          1. เงินสด เงินฝากธนาคาร หรือกองทุนตลาดเงิน ช่วงเวลาที่นักลงทุนมีความไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุน ก็อาจจะถือเงินสด เงินฝากธนาคาร หรือกองทุนตลาดเงินไว้ก่อน เพราะเงินสดสามารถรักษาอำนาจการซื้อขาย และมีสภาพคล่องสูงเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็สามารถนำเงินสดไปลงทุนได้ แต่อย่าลืมว่าการถือเงินสด เงินฝากธนาคาร หรือกองทุนตลาดเงิน ให้ผลตอบแทนที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ลงทุนอื่นที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และไม่สามารถชนะเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

          2. ตราสารหนี้ แบ่งเป็นภาครัฐและภาคเอกชน ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ การลดดอกเบี้ยทำให้มูลค่าของตราสารหนี้สูงขึ้น นักลงทุนควรเลือกลงทุนตราสารหนี้ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น เนื่องจากราคาตราสารหนี้ระยะยาวจะปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าทำให้มีกำไรจากส่วนต่างของราคา (Capital gain) มากกว่า อย่างไรก็ตามก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในครั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยของหลายประเทศอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การปรับลดดอกเบี้ยจากวิกฤติรอบนี้อาจมีขนาดน้อยกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ในขณะที่การใช้มาตรการคลังจำนวนมหาศาล รัฐบาลต้องก่อหนี้และออกพันธบัตรเพิ่มขึ้นเพื่อนำมาใช้จ่าย ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่พันธบัตรรัฐบาลจะให้ผลตอบแทนดีเหมือนกับช่วงเศรษฐกิจถดถอยในอดีต ในส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ

          3. หุ้นสามัญ เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลประกอบการของบริษัทจะลดลง ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลง ช่วงภาวะถดถอยในอดีต หุ้นกลุ่ม Defensive มักปรับตัวลดลงน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากมีความผันผวนของรายได้น้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ หุ้นกลุ่ม Defensive อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) กลุ่มบริการด้านสุขภาพ (Healthcare) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Staple) อย่างไรก็ตามวิกฤติเศรษฐกิจในรอบนี้แตกต่างจากครั้งก่อน เพราะเกิดจากการปิดเมืองให้ประชาชนอยู่บ้าน (Lockdown) เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และส่งเสริมการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักอย่างฉับพลัน ไม่ได้เกิดจากภาวะฟองสบู่แตกในสถาบันการเงินหรืออสังหาริมทรัพย์เหมือนวิกฤติเศรษฐกิจในหลายครั้งที่ผ่านมา นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ Lockdown ได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี(Technology) เช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เนต ผู้ให้บริการจัดการข้อมูล ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ เป็นต้น และกลุ่มธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เช่น ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์และชำระเงิน ธุรกิจให้บริการออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขหรือการสันทนาการ เป็นต้น

          4. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (REIT) ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย และดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ กองทุนที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างตราสารหนี้และหุ้นสามัญจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพราะมีรายได้ของค่าเช่าอย่างสม่ำเสมอมีกำไร (ขาดทุน) จากส่วนต่างราคา และมีกลุ่มธุรกิจประเภท REIT ที่ได้รับประโยชน์จากการเว้นระยะห่างทางสังคมและการทำงานที่บ้าน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้ารวมถึงการขนส่งสินค้าที่ซื้อขายออนไลน์และกลุ่มศูนย์ข้อมูลได้รับประโยชน์ แม้ว่ากลุ่มสำนักงาน ค้าปลีก โรงแรมจะได้ผลกระทบกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายในตลาดรอง ราคาจึงอาจผันผวนตามสภาวะตลาด และในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงอาจจะกระทบต่อรายได้ของกองทุน

         5. ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ราคาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับทิศทางเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยราคาทองคำจะปรับตัวขึ้น เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าและไม่เสื่อมสภาพ

        โดยสรุปจะเห็นได้ว่าในทุกสถานการณ์ย่อมสร้างโอกาสในการลงทุน นักลงทุนสามารถจัดสรร (Asset Allocation) และกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนและช่วยให้อัตราผลตอบแทนเป็นไปตามเป้าหมายในการลงทุน อย่างไรก็ตามการลงทุนในภาวะที่มีความผันผวนสูงอาจส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใด นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดและทำความเข้าใจความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ ซึ่งสามารถที่จะลงทุนได้โดยตรงหรือเลือกลงทุนผ่านบริษัทจัดการกองทุนที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการลงทุน โดยขอคำแนะนำผ่านผู้แนะนำการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญก่อนการตัดสินใจลงทุน เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
 


       


_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : เสาวลักษณ์ คำวิลัยศักดิ์ บลจ.เอ็มเอฟซี

กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บทความการเงิน

วันที่ 22 พฤษภาคม 2563

6486 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย