หน้าหลัก > บทความการเงิน > Green Bond การลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ

Green Bond การลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ

Green Bond การลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ*

           
          กรีนบอนด์คืออะไรและทำไมถึงได้รับความสนใจ?
          กรีนบอนด์ (Green Bond) คือ ตราสารหนี้ที่ผู้ออกมีเจตนาระดมทุนเพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจผ่านโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน โครงการขนส่งสาธารณะด้วยพลังงานไฟฟ้า และการรีไซเคิลขยะ เป็นต้น โดยผู้ออกกรีนบอนด์ก็คือผู้ออกตราสารหนี้ทั่วไป เช่น องค์กรระหว่างประเทศ ธุรกิจ และรัฐบาลประเทศต่างๆ และเกณฑ์การให้อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ก็ไม่ต่างกับตราสารหนี้ทั่วไปอีกด้วย กรีนบอนด์ฉบับแรกของโลกได้ออกขายในปี 2008 โดยธนาคารโลก (World Bank) เพื่อระดมทุนสนับสนุนโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศต่างๆ ผ่านการกู้ยืม และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมาจากการที่รัฐบาลกว่า 195 ประเทศให้ความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้นจนนำไปสู่การลงนามความตกลงปารีส (Paris Agreement) และกระแสความนิยมจากนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นในการตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและอยากสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น สะท้อนจากผลสำรวจนักลงทุนชาวยุโรปปี 2019 ของ Climate Bonds Initiative (CBI) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อการพัฒนาตลาดกรีนบอนด์ ที่พบว่านักลงทุน 64% ของผู้ตอบการสำรวจทั้งหมดสนใจซื้อกรีนบอนด์มากกว่าตราสารหนี้ทั่วไปที่มีลักษณะคล้ายกัน นอกจากนี้การออกกรีนบอนด์ยังถือเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นการดึงดูดนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจการลงทุนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ปัจจัยเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้กรีนบอนด์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจมากขึ้นทั่วโลก
 
 
          การออกกรีนบอนด์มีการตั้งมาตรฐานอย่างไร?
          หลายองค์กรทั่วโลกได้กำหนดมาตรฐานกรีนบอนด์ของตัวเองขึ้นมา เช่น ICMA green bond principles หรือ Climate bonds standard ซึ่งได้กำหนดว่าโครงการใดถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ออกตราสารหนี้จะต้องเปิดเผยข้อมูลอะไรบ้าง ขณะที่บางประเทศหรือกลุ่มประเทศ เช่น จีน สหภาพยุโรป และอาเซียนก็มีการตั้งเกณฑ์ของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน โดยผู้ออกกรีนบอนด์สามารถเลือกใช้มาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่งเพื่อใช้ในการอ้างอิง ส่งผลให้มาตรฐานกรีนบอนด์ของแต่ละประเทศและองค์กรแตกต่างกัน เช่น สหภาพยุโรปได้ระบุข้อจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่จีนไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการตั้งมาตรฐานสากลว่า “โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” จะต้องมีเกณฑ์อะไรบ้าง จึงยังมีการโต้แย้งว่าโครงการบางประเภทเข้าข่ายการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือไม่ เช่น โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นต้น การที่ไม่มีมาตรฐานสากลอาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดกรีนบอนด์ลดลงและเพิ่มความเสี่ยงของการฟอกเขียว (Greenwashing) หรือการที่องค์กรแอบอ้างว่าโครงการที่นำเงินไปลงทุนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าความเป็นจริง เนื่องจากผู้ออกกรีนบอนด์อาจปกปิดรายละเอียดหรือไม่รายงานการนำเงินไปใช้ในโครงการอื่นๆ จากที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปี 2019 สหภาพยุโรปได้อนุมัติข้อตกลง EU sustainable finance taxonomy เพื่อใช้จำแนกโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการฟอกเขียว ซึ่งอาจจะเป็นก้าวแรกของการนำไปสู่มาตรฐานสากลเนื่องจากหลายองค์กรเลือกออกกรีนบอนด์เป็นสกุลเงินยูโร โดยคาดว่าระเบียบต่างๆ จะเริ่มทยอยเปิดเผยในปี 2020
 
 
          ตลาดกรีนบอนด์โลกเติบโตเร็วแค่ไหน?
          ตลาดกรีนบอนด์โลกถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรายงานจาก (Climate Bonds Initiative : CBI) เผยว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2019 การออกกรีนบอนด์ทั่วโลกมีมูลค่ารวมกว่า 2.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 47%YOY ถ้าพิจารณาในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2019 พบว่าประเทศที่ออก      กรีนบอนด์มูลค่ารวมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐฯ (ผู้ออกหลัก คือ Fannie Mae และระดับเทศบาล) ฝรั่งเศส และจีน โดยภาคเอกชนเป็นผู้ออกกรีนบอนด์หลักคิดเป็น 46% ของมูลค่ากรีนบอนด์ออกใหม่ทั้งหมด และเงินลงทุนจากกรีนบอนด์ที่ได้ส่วนใหญ่ถูกนำไปลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานมากที่สุดคิดเป็น 38% ของมูลค่า     กรีนบอนด์ออกใหม่ทั้งหมด รองลงมา คือ อุตสาหกรรมก่อสร้างและการขนส่งที่มีส่วนแบ่ง 26% และ 19% ตามลำดับ ทั้งนี้แม้ว่ากรีนบอนด์จะเติบโตอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังมีมูลค่าไม่ถึง 1% ของตลาดตราสารหนี้ทั้งหมด (รวมเอกชนและภาครัฐ) ซึ่งมีมูลค่าถึง 115 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในครึ่งแรกของปี 2019 (ตลาดกรีนบอนด์อยู่ที่ประมาณ 6.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในครึ่งแรกของปี 2019) อย่างไรก็ดีกรีนบอนด์ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นในระยะข้างหน้า เนื่องจากหลายองค์กรยังให้ความสนใจในการออกและซื้อกรีนบอนด์อย่างต่อเนื่อง เช่น Apple ที่ได้ออกกรีนบอนด์มูลค่ากว่า 2 พันล้านยูโร ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงาน และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ได้ซื้อกรีนบอนด์ตามโครงการซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (Asset Purchase Program) ตั้งแต่ปี 2015 และอาจจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในอนาคตตามความประสงค์ของประธานธนาคารกลางยุโรป Christine Lagarde ที่อยากใช้นโยบายการเงินในการสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
 
 
          กรีนบอนด์มีความแตกต่างกับตราสารหนี้ทั่วไปหรือไม่?
          นอกจากกรีนบอนด์จะแตกต่างจากตราสารหนี้ทั่วไปในแง่จุดประสงค์ของการระดมทุนที่เน้นเฉพาะโครงการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ตลาดการซื้อขายกรีนบอนด์ที่เล็กกว่าตลาดตราสารหนี้ทั่วไป และขั้นตอนการออกกรีนบอนด์ที่จะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่งผลให้กรีนบอนด์มีความแตกต่างจากตราสารหนี้ทั่วไปในด้านอื่นๆ อีกด้วย ดังนี้
          1) ความต้องการที่สูงเมื่อเทียบกับอุปทานในตลาดรอง : ตามที่กล่าวไปแล้ว ตลาดกรีนบอนด์โลกเป็นตลาดที่ค่อนข้างเล็ก (น้อยกว่า 1% ของตลาดตราสารหนี้ทั้งหมด) และเป็นตลาดใหม่ในบางประเทศ แต่ความต้องการของนักลงทุนมีอยู่สูงโดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันในกองทุนสีเขียวที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้และหลักทรัพย์อื่นที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการขาดแคลนในตลาดรองสำหรับนักลงทุน และทำให้มูลค่าการซื้อขายต่ำกว่าตราสารหนี้ทั่วไป ทั้งนี้อัตราการเติบโตของการออกกรีนบอนด์ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากการออกกรีนบอนด์จากธุรกิจและรัฐบาลในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะช่วยลดความเสี่ยงในด้านนี้ในระยะข้างหน้า
          2) ต้นทุนการระดมทุนที่ต่ำกว่า : การที่อุปสงค์ในตลาดสูงกว่าอุปทาน อาจทำให้ราคาของกรีนบอนด์ทั้งในตลาดแรกและตลาดรองสูงกว่าตราสารหนี้อื่นที่คล้ายๆ กันเล็กน้อย ซึ่งส่วนต่างของราคานี้เรียกว่า “Greenium” (มาจาก Green + Premium) รายงานจาก Climate Bonds Initiative เผยว่าจากตัวอย่างกรีนบอนด์ 32 ฉบับ ในครึ่งแรกของปี 2019 มีกรีนบอนด์ 6 ฉบับที่มี Greenium ทั้งนี้ Greenium ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกโต้แย้งว่ามีอยู่จริงหรือไม่ หากตลาดกรีนบอนด์พัฒนาไปมากกว่านี้อาจจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้น
          3) ค่าใช้จ่ายในการออกที่สูงขึ้น : เนื่องจากนักลงทุนต้องการความเชื่อมั่นว่าผู้ออกกรีนบอนด์จะนำเงินไปลงทุนตามที่ระบุและไม่นำไปใช้ในทางที่ไม่ได้กำหนดไว้ หลายองค์กรจึงเลือกที่จะจ้าง องค์กรอื่นมาตรวจสอบและรับรองว่ากรีนบอนด์ที่ออกเป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งทำให้ต้นทุนการออกกรีนบอนด์สูงกว่าตราสารหนี้แบบอื่นๆ ขณะเดียวกันการที่กรีนบอนด์จำกัดโครงการที่องค์กรจะนำเงินไปลงทุนได้ อาจถือเป็นค่าเสียโอกาสเมื่อเทียบกับการออกตราสารหนี้ทั่วไป และเป็นความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์องค์กรหากไม่สามารถทำตามที่ระบุได้
          4) มีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งด้านผู้ซื้อและผู้ออกกรีนบอนด์ : ภาครัฐในหลายประเทศมีมาตรการสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่หลากหลายซึ่งรวมทั้งมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการออกกรีนบอนด์และให้แรงจูงใจทางภาษีสำหรับผู้ซื้อกรีนบอนด์ เช่นในบราซิลมีการออกขายกรีนบอนด์ปลอดภาษีเพื่อพัฒนาโครงการพลังงานลมในประเทศในปี 2017
 
 
          พัฒนาการกรีนบอนด์ในไทยเป็นอย่างไร?
          ตลาดกรีนบอนด์ในไทยในปี 2019  มีมูลค่าประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทไทยหลายแห่งได้เริ่มมีการออกกรีนบอนด์มากขึ้น เช่น ในปี 2018 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกกรีนบอนด์เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในไทย ซึ่งธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) ได้เข้าไปลงทุนในกรีนบอนด์มูลค่า 5 พันล้านบาท นอกจากนี้ในปี 2019 บริษัท พลังงานบริสุทธ์ จำกัด (มหาชน) ได้ออก        กรีนบอนด์เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมาน ซึ่งธนาคารพัฒนาเอเชียได้เข้าไปลงทุน 3 พันล้านบาทจากมูลค่าทั้งหมด 1 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่าตลาดกรีนบอนด์ในไทยเติบโตได้ดีและได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ในปี 2020 หลายองค์กรในไทยมีความสนใจออกกรีนบอนด์ต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ออกกรีนบอนด์ในไทยกว่า 10 บริษัท ซึ่ง ก.ล.ต ได้สนับสนุนการออกกรีนบอนด์โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายกรีนบอนด์ (Filing Fee) จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2020  และได้ปรับเปลี่ยนข้อกำหนดทางด้านแบบแสดง มาตรฐานที่ใช้ และการรายงานเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและส่งเสริมการออกกรีนบอนด์ในไทย ดังนั้นตลาดกรีนบอนด์ในไทยถือว่ามีศักยภาพสูง และเมื่อตลาดขยายตัวต่อไปในอนาคตจะมีมาตรฐานที่สูงขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้นอีกด้วย


       


_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ปัณณ์ พัฒนศิริ  การเงินธนาคาร คอลัมน์ เกร็ดการเงิน 

กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บทความการเงิน

วันที่ 20 มีนาคม 2563

3383 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย