บสก. ช่วยลูกค้าประสบภัยน้ำท่วม เตรียมพักหนี้-ลดดอกเบี้ย

          บสก. ลงพื้นที่ เร่งตรวจสอบลูกค้าที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมหนักหลายจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค ใต้  เพื่อรับทราบปัญหาและประเมินสถานการณ์ให้ความช่วยเหลือ ระบุพร้อมพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายกรณี ตั้งแต่การลดดอกเบี้ย พักชำระหนี้ 6 – 12 เดือน หรือลดวงเงินผ่อนชำระ ขึ้นอยู่กับผลกระทบของลูกหนี้แต่ละราย  ยันทรัพย์สินรอการขายในภูมิภาคส่วนใหญ่เป็นที่ดินเปล่าจึงได้รับผลกระทบไม่ มากนัก

          นายสุเมธ มณีวัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.)  เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมในหลายจังหวัด ทางภาคใต้ว่า ขณะนี้ได้สั่งการไปยังภาคและสำนักงานต่างๆ ให้ลงพื้นที่ เพื่อรับทราบปัญหาของลูกค้าว่าได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างและให้เร่งส่งข้อมูล เหล่านี้มายังสำนักงานใหญ่ เพื่อประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าของ บสก. อย่างเร่งด่วนต่อไป โดยหากลูกค้ารายใดประสบปัญหาอย่างหนักจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็จะพิจารณาหลาย ๆ แนวทาง อาทิ การลดดอกเบี้ย หรือพักชำระหนี้ในระยะเวลา 6 – 12 เดือน หรือลดวงเงินผ่อนชำระ ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่ลูกหนี้ได้รับ โดยพิจารณาเป็นรายกรณี เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน  

          “ทาง บสก. เป็นห่วงลูกค้าและชุมชนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม จึงได้สั่งการให้ทางภาค  และสำนักงานต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ ลงไปให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นก่อน  ส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติมก็สามารถส่งเรื่องมายังสำนักงานใหญ่   เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของลูกค้าต่อไป นอกจากนี้เพื่อเป็นการแจ้งให้ลูกค้าได้รับทราบ ทางสำนักงานของ บสก. ยังได้ติดป้ายประชาสัมพันธ์หน้าบริษัท เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม สามารถเข้ามาติดต่อที่สำนักงานได้โดยตรง” นายสุเมธ กล่าว

          กรรมการผู้จัดการใหญ่ บสก. กล่าวอีกว่า สำหรับในส่วนของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของ บสก. ในเขตพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมนั้น เท่าที่สำรวจเบื้องต้นพบว่าไม่รุนแรงหรือเสียหายมากนัก เนื่องจากทรัพย์สินรอการขายในต่างจังหวัดของ บสก. ส่วนใหญ่เป็นที่ดินเปล่า มีเพียงที่ดิน ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ได้จัดทำเป็นแปลงสาธิตในโครงการพอ อยู่พอกิน กับที่ดิน บสก. ซึ่งถูกน้ำท่วมทั้งหมด  ปัจจุบัน บสก. มีทรัพย์สินรอการขายอยู่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 1,700 รายการ คิดเป็นมูลค่า 2,986 ล้านบาท