Main Page > Financial Articles > วิเคราะห์การสร้างเข็มทิศการลงทุนด้วย Goal Based Investing*
ที่มาของภาพ : https://www.canarahsbclife.com/content/dam/choice/blog-inner/images/what-is-goal-based-investing-and-why-it-is-important.jpg
เมื่อสนใจเริ่มต้นลงทุน แต่อาจมีคำถามว่า “เราจะลงทุนในอะไร” หากตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้ มักเกิดจากการไม่มีเป้าหมายการลงทุนและผลที่ตามมามักพุ่งเป้าที่ผลตอบแทนเป็นหลัก จนลืมความเสี่ยง
ความเสี่ยงของการลงทุน หมายถึง ความผันผวนของผลตอบแทนที่ส่งผลกระทบให้เป้าหมายการลงทุนหรืออาจกระทบต่อเป้าหมายการเงินอื่นๆ ด้วย ดังนั้นหากพุ่งเป้าไปที่ผลตอบแทนเป็นอันดับแรก อาจเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงเกินความจำเป็น ดังนั้นก่อนเริ่มลงทุนควรเปลี่ยนคำถามจาก “เราจะลงทุนในอะไร” เป็น “ทำไมเราต้องลงทุน” อาจพบคำตอบของแผนการลงทุนที่ไม่เสี่ยงจนเกินไป สามารถลงทุนตามแผนที่วางเอาไว้ และถึงเป้าหมายในระยะเวลาที่กำหนด
สำหรับการวางแผนการลงทุนแบบมีเป้าหมาย (Goal Based Investing) หมายถึง เมื่อเริ่มลงทุน ควรสำรวจตัวเองว่าเป้าหมายการลงทุนคืออะไร ระยะเวลาที่ต้องการไปให้ถึงเป้าหมาย และทรัพยากรการลงทุนเป็นอย่างไร จากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนการเลือกสินทรัพย์ลงทุนและสร้างแผนการลงทุน จะเห็นได้ว่า Goal Based Investing ไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นอันดับแรก แต่จะคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนและระยะเวลาในการลงทุน และเงินลงทุนที่ตัวผู้ลงทุนสามารถจัดสรรมาสำหรับแต่ละเป้าหมาย ซึ่งหมายถึงเงินลงทุนตั้งต้นและเงินลงทุนสมทบรายงวด
ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายการลงทุน
ปัจจุบันอายุ 30 ปี ต้องการเริ่มต้นลงทุนเดือนละ 15,000 บาท โดยมีเป้าหมายมีเงินก้อนจำนวน 10 ล้านบาท สำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณอายุที่ 55 ปี จากข้อมูลนี้สามารถคำนวณหาอัตราผลตอบแทนคาดหวังได้ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 25 ปีของแผนการลงทุน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามความคาดหวัง
ในทางกลับกัน หากไม่ทราบว่าเป้าหมายการลงทุนคืออะไร มักจะพุ่งความสนใจไปที่ผลตอบแทนเป็นอันดับแรก ด้วยการเริ่มต้นเลือกสินทรัพย์ลงทุน ทำให้ไม่ทราบว่าเงินลงทุนที่ใช้ควรจะมีมากน้อยเพียงไร และอาจเผชิญกับความเสี่ยงหรือความผันผวนสูงเกินความจำเป็น เช่น นำเงิน 500,000 บาท ไปลงทุนในหุ้นรายตัวเพื่อให้ได้เงิน 10 ล้านบาท โดยไม่ทราบถึงความเสี่ยงของแผนการลงทุน เช่น ต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากข้อมูลในระหว่างปี 1900-2020 หากเลือกลงทุนในตราสารทุน 100% ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 9.6% ต่อปี แต่ในบางปีอาจขาดทุนสูงถึง 27.9% ในทางกลับกัน หากเลือกลงทุนในตราสารหนี้ 100% ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 5% แต่ในบางปีก็อาจขาดทุน 6.1%
ดังนั้นหากกำหนดเป้าหมายการลงทุน จากนั้นก็จัดสรรสินทรัพย์การลงทุน โดยลงทุนในตราสารหนี้ 70% ตราสารทุน 30% ซึ่งให้ผลตอบเฉลี่ยที่ 6.8% ต่อปี ก็จะมีโอกาสได้รับเงิน 10 ล้านบาท ในเวลา 25 ปี โดยใช้เงินลงทุนเดือนละ 15,000 บาท ตลอดระยะเวลาของแผนการ ขณะที่ความผันผวนที่ได้รับก็น้อยกว่าการนำเงินไปลงทุนในตราสารทุน 100% อย่างไรก็ตามการวางแผนการลงทุนแบบ Goal Based Investing ไม่ได้มีเพียงการตั้งเป้าหมายการลงทุนเพียงเท่านั้น แต่ต้องให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนรับได้เป็นสำคัญด้วย เพราะถึงแม้แผนการลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามคาดหวังแต่กลับมีความเสี่ยงสูงเกินไป หรือผู้ลงทุนอาจเปลี่ยนแผนการลงทุนในระหว่างทาง เป็นต้น ดังนั้นก่อนตัดสินใจใช้แผนการลงทุนดังกล่าวควรพิจารณาข้อมูลให้ครบถ้วน เมื่อมีเข็มทิศทางการลงทุนจะช่วยให้มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ทราบระยะเวลาและจำนวนเงินที่ต้องใช้สำหรับแผนการลงทุน ซึ่งแผนการลงทุนแบบ Goal Based Investing เป็นอีกทางเลือกที่จะนำไปสู่เป้าหมายทางการลงทุนที่ตั้งใจไว้