Main Page > Economic Articles > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนตุลาคม 2556
รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนสิงหาคม 2556
ข้อมูลเดือนสิงหาคม 2556 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าคงที่ เพราะสินค้าในหมวดอาหารสำเร็จรูปยังทรงตัว ขณะที่สินค้าจำพวกพืช ผัก ยังมีราคาสูงอยู่ อีกทั้งราคาน้ำมันยังมีความผันผวน ส่วนภาคการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงทำให้คำสั่งซื้อมีเข้ามาเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวก ตามการนำเข้าที่มีการขยายตัวลดลงไป อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยปริมาณเงินฝากมีค่าเพิ่มขึ้นแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะธนาคารพาณิชย์ยังแข่งขันในเรื่องการระดมเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดมีอัตราที่สูง ส่งผลทำให้ประชาชนยังคงออมเงินอย่างต่อเนื่อง สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากสัญญาณหนี้ภาคครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ธนาคารต้องระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ เพราะเกรงว่าอาจจะทำให้เป็นหนี้ด้อยคุณภาพได้ จึงทำให้การปล่อยสินเชื่อมีการขยายตัวที่ลดลง
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด |
พฤษภาคม 56 |
มิถุนายน 56 |
กรกฎาคม 56 |
สิงหาคม 56 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
105.2 |
105.3 |
105.4 |
105.4 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
176.09 |
178.54 |
174.09 |
175.78 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
64.94 |
64.79 |
63.43 |
63.57 |
ดุลการค้า |
5.4.74 |
587.61 |
257.55 |
2,214.20 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-1,884.89 |
-969.23 |
-1,638.75 |
1,284.74 |
เงินฝาก |
10,598.35 |
10,617.48 |
10,707.17 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
12,011.80 |
12,013.99 |
11,904.59 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545, เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ, ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนสิงหาคม 2556
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ส.ค. 55 กับ 56 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน |
การเติบโต |
ณ ส.ค. 55 |
79,484 |
NA |
ณ ส.ค. 56 |
78,838 |
-0.81% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ส.ค. 56 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน |
สัดส่วน |
อาคารชุด |
42,118 |
53.42 |
บ้านเดี่ยว |
18,865 |
23.93 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
10,293 |
13.06 |
อาคารพาณิชย์ |
6,615 |
8.39 |
บ้านแฝด |
947 |
1.20 |
รวม |
78,838 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
- การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ส.ค. 55 กับ 56 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน |
การเติบโต |
ณ ส.ค. 55 |
99,394 |
NA |
ณ ส.ค. 56 |
106,555 |
7.20% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ส.ค. 56 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน |
สัดส่วน |
อาคารชุด |
41,935 |
39.35 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
32,910 |
30.89 |
บ้านเดี่ยว |
19,761 |
18.55 |
อาคารพาณิชย์ |
8,805 |
8.26 |
บ้านแฝด |
3,144 |
2.95 |
รวม |
106,555 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
ปี 56 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
มกราคม-กุมภาพันธ์ |
7.23 |
2.75 |
มีนาคม-เมษายน |
7.14 |
2.75 |
พฤษภาคม-สิงหาคม |
7.14 |
2.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนสิงหาคม 2556
ภาพรวมของอุปทานมีการหดตัวลงเล็กน้อย 0.81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการหดตัวมาจากในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเป็นช่วงที่มีการเร่งการก่อสร้างหลังจากฟื้นตัวจากช่วงน้ำท่วม จึงทำให้มีจำนวนที่สูงกว่าในปีนี้ ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ยังมีการเติบโตได้ 7.20% โดยยังมีอาคารชุดเป็นตัวนำในเรื่องของการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ เนื่องจากจำนวนอุปทานที่เริ่มสร้างเสร็จมีจำนวนมากขึ้นส่งผลทำให้มีการโอนเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ในขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยยังทรงตัวอยู่ที่ 7.14% ถึงแม้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.50% ก็ตาม
วิเคราะห์ความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา*
เศรษฐกิจโลกขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าการกลับเข้าสู่ความเป็นปกติของการขยายตัว หรือ Normalization of global growth ที่เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น กำลังฟื้นตัวพร้อมกัน ตลาดการเงินโลกได้ตอบรับการฟื้นตัว โดยการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่กลับเข้าประเทศอุตสาหกรรม จากที่คาดว่าการฟื้นตัวจะทำให้ทิศทางนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมเปลี่ยนจากผ่อนคลายมาก เป็นผ่อนคลายน้อยลง และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในที่สุด และประเทศที่ตลาดการเงินจับตามากที่สุดขณะนี้ ในแง่นโยบายการเงิน ก็คือ สหรัฐอเมริกา เพราะเป็นประเทศแถวหน้าในวัฏจักรการฟื้นตัวที่กำลังเกิดขึ้น
คำถามที่ตามมามีสองคำถาม
หนึ่ง การฟื้นตัวของประเทศอุตสาหกรรมหลักจะต่อเนื่องและยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน
สอง ถ้าเศรษฐกิจอุตสาหกรรมหลักฟื้นตัว ผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศตลาดเกิดใหม่จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะผลที่เงินทุนไหลออกจะกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้
ซึ่งการวิเคราะห์ในครั้งนี้จะเน้นไปในประเด็นคำถามแรกโดยมุ่งไปที่สหรัฐอเมริกา นั้นก็คือ ความยั่งยืนหรือความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะมีมากน้อยแค่ไหน ในประเด็นนี้ถ้าจะสรุปเห็นว่าการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นได้ต่อเนื่องก็ต่อเมื่อทางการสหรัฐอเมริกาลดความกังวลของตลาดการเงิน ในความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ขณะนี้มีอยู่สามประเด็น
หนึ่ง ทิศทางนโยบายการเงินจากนี้ไป
สอง ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐคนต่อไป
สาม แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ โดยเฉพาะเพดานก่อหนี้ตามกฎหมาย ตราบใดที่ความไม่แน่นอนในสามประเด็นนี้ยังมีอยู่ ตลาดการเงินคงจะผันผวนต่อไป และภาคธุรกิจก็จะมีความมั่นใจน้อยในทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ทำให้การฟื้นตัวจะมีข้อจำกัดและไม่ยั่งยืน
ประเด็นแรก เรื่องนโยบายการเงิน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำในปัจจุบัน ได้สร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมให้ธนาคารกลางสหรัฐเริ่มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินลง แต่คงต้องทำเป็นขั้นตอน เริ่มโดยการลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านมาตรการคิวอีไปสู่การดูดซับสภาพคล่องที่ได้ปล่อยไปกลับ (โดยขายพันธบัตร หรือไม่ Rollover พันธบัตรที่หมดอายุลง) และไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในที่สุด ความไม่แน่นอนขณะนี้ คือ เงื่อนเวลาและขนาดของการลดทอนที่จะเกิดขึ้น ทำให้ข่าวที่ออกมาเรื่องมาตรการคิวอีทุกครั้ง ไม่ว่าบวกหรือลบจะกระทบตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้นทั่วโลกมากเกินกว่าเหตุในประเด็นนี้สิ่งที่ต้องเข้าใจ ก็คือ แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะดีต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกต่อไปจะเข้มแข็ง แต่ตลาดการเงินได้ตอบรับข่าวดังกล่าวในเชิงลบ เพราะกลัว “สภาพคล่อง” ที่จะลดลงจากการลดทอนมาตรการคิวอี ซึ่งจะฉุดให้ราคาสินทรัพย์โดยเฉพาะ “หุ้น” ให้ตก ดังนั้น ข่าวมาตรการคิวอีที่ออกมา (Tapering) จึงกระทบตลาดหุ้นมาก เทียบกับตลาดตราสารหนี้ที่ได้เริ่มปรับตัวตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไปแล้ว สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยระยะยาวในตลาดพันธบัตรที่ปรับสูงขึ้น ที่สำคัญ ทั้งๆ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกายังไม่ได้พูดชัดเจนว่าจะเริ่มลดทอนขนาดการอัดฉีดเท่าไร และเมื่อไร ตัวเลขฐานะสินทรัพย์ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาชี้ว่าสินทรัพย์ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในบัญชีการเงินประจำเดือนเริ่มแสดงอัตราการเพิ่มลดลงจากเดิม คือ จากที่เคยเพิ่มเฉลี่ยต่อเดือนในอัตราร้อยละ 3 ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ล่าสุดอัตราการเพิ่มช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมลดลงเหลือร้อยละ 1.5 ซึ่งชี้ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกาสนับสนุนการลดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และคงทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการประกาศขนาดการลดทอนและเงื่อนเวลาการลดทอนคงจะเกิดขึ้นเร็ว และควรต้องเกิดขึ้นเร็วเพื่อลดความไม่แน่นอนที่มีอยู่
ประเด็นที่สอง ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ขณะนี้มีผู้ที่อาจจะได้เป็นก็คือ รองประธานเฟด นาง Janet Yellen หลังจากที่ตัวเลือกของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คือ นาย Lawrence Summers ได้ประกาศถอนชื่อจากการพิจารณาด้วยเหตุผลทางการเมือง ที่ต้องการลดแรงกดดันต่อการทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพราะการเสนอชื่อนาย Summers คงมีแรงต่อต้านจากสมาชิกสภาสูงของพรรค เดโมแครตเอง และในฐานะรองประธานเฟด นาง Yellen มีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีที่จะสานต่อนโยบายการเงินตามทิศทางที่คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานเฟดคนปัจจุบันได้วางไว้ ดังนั้นการรีบประกาศแต่งตั้ง นาง Yellen เป็นผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะลดความไม่ชัดเจนในทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับตลาดการเงินว่านโยบายการเงินสหรัฐอเมริกาจะเดินตามแนวทางปัจจุบันต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
ประเด็นที่สาม ก็คือ แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาที่การก่อหนี้ได้โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การแก้ไขปัญหายังไม่มีแนวทางชัดเจน ประเด็นนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่มีต่อนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถูกกระทบ เพราะไม่มีความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขได้ ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน ซึ่งกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในเรื่องนี้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ เพดานการ ก่อหนี้สาธารณะที่รัฐสภาได้กำหนดไว้ไม่ให้เกิน เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ระดับหนี้สาธารณะจะชนเพดานดังกล่าว ทำให้ทางการสหรัฐอเมริกาจะไม่สามารถกู้ยืมใหม่ได้ เพื่อใช้จ่ายตามงบประมาณ ที่สำคัญถ้าฝ่ายการเมืองสหรัฐอเมริกาไม่สามารถตกลงกันได้ในแนวทางการลดหนี้ ก็จะไม่มีเหตุผลหรือพื้นฐานที่จะใช้อ้างสนับสนุนการเพิ่มเพดานหนี้เป็นการชั่วคราว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ทางการสหรัฐอเมริกาอาจลดการใช้จ่ายที่จำเป็นลง เพราะติดเพดานหนี้ ทำให้ไม่สามารถกู้ใหม่ได้ กรณีเลวร้ายสุด ก็คือ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่มีเงินแม้แต่จะชำระหนี้ หรือจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้เกิดปัญหาชำระหนี้ เหมือนที่เกิดขึ้นในยุโรป ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายมากต่อตลาดการเงินโลก ทางออกเรื่องนี้อยู่ที่ฝ่ายการเมืองสหรัฐอเมริกาทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ต้องหาข้อยุติที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้ และเพิ่มเพดานก่อหนี้เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติ อันนี้จึงเป็นอีกความไม่แน่นอนที่จะเข้ามากระทบตลาดการเงินโลกค่อนข้างมากขณะนี้
โดยสรุปความไม่แน่นอนทั้งสามเรื่อง เป็นความไม่แน่นอนด้านนโยบาย เป็นเรื่องที่สามารถทำให้ชัดเจนได้ แต่ถ้าไม่ทำ ความไม่แน่นอนก็จะมีอยู่ และจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลกต่อไป รวมถึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเองด้วย
แนวโน้มห้าปีหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก
วิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลกที่เกิดขึ้นปลายปี 2008 เป็นเรื่องที่ขณะนั้นจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เพราะความคิดของผู้ทำนโยบายและตลาดการเงินขณะนั้น เชื่อว่าความเสี่ยงต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ตลาดการเงินจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นได้ ความเสี่ยงในกรณีนี้ก็คือ ความเป็นหนี้ที่มากเกินไป ที่เกิดจากการกระตุ้นโดยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน นำไปสู่การสะสมความเสี่ยงและภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ในที่สุดก็เกิดขึ้นเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เพราะระบบและเศรษฐกิจการเงินโลกมีการเชื่อมโยงกันสูง ทำให้สถาบันการเงินในหลายประเทศประสบปัญหา และเศรษฐกิจหลายประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย บทเรียนที่สำคัญที่สุดที่มาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008 ก็คือ การก่อหนี้ที่มากเกินไปที่เกินความสามารถที่จะชำระคืนนำไปสู่การเกิดวิกฤติที่รุนแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ภาครัฐหรือเอกชน ไม่ว่าการก่